Blog Post

Exclusive – พาเที่ยว จิ่วไจ้โกว สวรรค์บนดินที่งดงาม ณ ประเทศจีน
Featured

Exclusive – พาเที่ยว จิ่วไจ้โกว สวรรค์บนดินที่งดงาม ณ ประเทศจีน 

“จิ่วไจ้โกว ประเทศจีน”

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ iModToy ทุกๆ คน ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูหนาว เราก็เลยขอยกเอา รีวิวที่เราชนะการประกวดจาก https://www.airmosphere.net เอามาเรียบเรียงให้เพื่อนๆ ได้ติดตามกัน

Exclusive – พาเที่ยว จิ่วไจ้โกว สวรรค์บนดินที่งดงาม ณ ประเทศจีน

เมื่อเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2559 เราเดินทางไปจิ่วไจ้โกว ประเทศจีนมาค่ะ
แต่หลังกลับจากจิ่วไจ้โกวได้ไม่นาน มีข่าวว่า เกิดแผ่นดินไหวในเดือนสิงหาคม 2560
ทำให้จิ่วไจ้โกว ได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ปัจจุบันทางการของจีนได้เปิดให้เข้าชมตามปกติค่ะ

จิ่วไจ้โกว เป็นพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน ของประเทศจีน มีชื่อเสียงจากน้ำตกหลายระดับชั้นและทะเลสาบที่มีสีสันงดงาม พ.ศ. 2535 องค์การยูเนสโกได้ประกาศพื้นที่นี้ให้เป็นมรดกโลกและเป็น World Biosphere Reserve ใน พ.ศ. 2540

เราชวนน้องสายรหัสออกเดินทางไปผจญภัยด้วยกันตกลงเรื่องวันเวลากันได้ ก็ไม่รอช้า
นั่งกดหาตั๋วของพี่หางแดง Thai AiaAsia โชคดีที่สุด พี่หางแดงเขามีโปรโมชั่นพอดี เจอราคาน่ารัก
แถมเวลาที่รับได้ กดจองโดยไม่ต้องคิดอะไร ใดๆ ทั้งสิ้นเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

แผนการเดินทางในทริปนี้

เราเดินทางไปประเทศจีน 5 วัน
วันแรก : ถึงเมืองฉงชิ่ง – นั่งรถไฟความเร็วสูงไปเมืองเฉิงตู – เดินเล่น Chunxi road
วันที่ 2 : เดินทางจากเมืองเฉิงตู ไปจิ่วไจ้โกว โดยรถบัส ใช้เวลา 11-12 ชั่วโมง
วันที่ 3 : เที่ยวจิ่วไจ้โกว
วันที่ 4 : เดินทางจากจิ่วไจ้โกวกลับเมืองเฉิงตู โดยรถบัส 11-12 ชั่วโมง – เดินเล่น Chunxi road
วันที่ 5 : เดินทางจากเมืองเฉิงตูกลับเมืองฉงชิ่ง โดยรถไฟความเร็วสูง – บินกลับประเทศไทย

สรุปค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

  • ค่าตั๋วเครื่องบิน สายการบิน Thai AirAsia บินไปลงฉงชิ่ง 3,360 บาท
  • ซื้อน้ำหนักกระเป๋า 20 kg + อาหารทั้งไปและกลับ 1,672 บาท
  • ค่า Visa 1,950 บาท ใช้บริการของ Agency ค่ะ
  • แลกเงินไป 11,822 แต่ใช้ไปแค่ 8,030 บาท (รวมทุกอย่างทั้งค่ารถบัส ค่า taxi ค่า metro ค่ากิน ค่าที่พัก กินหรู อยู่สบาย นอนอุ่นๆ)
  • ตั๋วรถไฟความเร็วสูงไปกลับจากฉงชิ่งไปเฉิงตู 1,600 บาท (ให้เพื่อนคนไทยที่เรียนอยู่ที่จีนซื้อให้ เพราะต้องใช้ ID ของคนที่นู่น)
  • ค่า Pocket Wi-Fi 975 บาท (สัญญาณดีมาก แต่ช่วงข้ามเขาก็มีหลุดๆ บ้างนิดหน่อยเล่น Facebook, Line, IG ได้หมด ถือว่าโอเคมากๆ เลยค่ะ
  • สรุปรวมทั้งทริป 17,587 บาทถ้วนค่ะ

เราเดินทางโดยเที่ยวบิน FD 556 เวลา 6:20 น. เช้าตรู่เลย จากท่าอากาศยานดอนเมือง
ไปถึงเมืองฉงชิ่งตามเวลาท้องถิ่น คือ 10:20 น. เราสั่งอาหารทั้งขาไปและขากลับ
พอได้เวลาอาหารพี่แอร์คนสวยก็เอามาเสิร์ฟ อิ่มอร่อยไปอีกหนึ่งมื้อค่ะ

ใช้เวลาอยู่บนท้องฟ้าไม่นานนัก พี่หางแดงก็พาเราเดินทางมาถึง
Chongqing Jiangbei International Airport อย่างปลอดภัย

สวัสดีประเทศจีน!!!! มาถึงแล้วจนได้ อิอิ
เมื่อเราผ่าน ตม. ออกมาได้แล้ว ก็เดินออกไปนอกตัวอาคาร
สัมผัสบรรยากาศด้านนอก 11 องศา ช่างน่าประทับใจ จากนั้นเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดเลยค่ะ
เดินตามถนนมาเลย เราจะไปยัง Terminal 2 ซึ่งเป็นอาคารผู้โดยสารในประเทศ
เพราะเราต้องนั่งรถไฟฟ้า ไปสถานีรถไฟความเร็วสูง Chongqing North Railway ต่อไปยังเมืองเฉิงตู
ค่ารถไฟฟ้าประมาณ 3-4 หยวน (1 หยวน = 5 บาท) จะไปกดตู้ก็ได้ หรือต่อคิวซื้อกับเจ้าหน้าที่ก็ได้ค่ะ

มาถึงแล้ววววววววววววววว เราต้องไปขึ้นรถไฟความเร็วสูง เพื่อไปเมืองเฉิงตู
ต้องไปสถานี Chongqing North Railway Station แต่!!!! ไปผิดสถานีจ้าาา
ไป Chongqing ธรรมดา ไม่มี North ย้ำ ไม่มี North จ้าาา เราซื้อตั๋วรถไฟล่วงหน้ามาก่อนจากเมืองไทย
โดยให้เพื่อนคนไทยที่เรียนอยู่ที่จีนซื้อให้ (แต่เพื่อนเรียนอยู่อีกเมือง) เพื่อนก็จะส่งหลักฐานในการซื้อตั๋วมาให้
แต่เราต้องมาขึ้นตั๋วจริงที่นี่ เดินวนหาให้วุ่น ไม่รู้ตึกไหนเป็นตึกไหน ป้ายภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยมี
และที่สำคัญไม่มีคนพูดภาษาอังกฤษเลยจ้าาาา แต่เขาก็ช่วยเหลือดีมาก โชคดีที่ออกตั๋วจริงได้
มีเด็กนักเรียนช่วยเหลือ พูดอังกฤษไม่ได้ แต่น้องก็พาเดินไปหา ไปคุยกับ Staff จนได้ตั๋วจริงมา
ต่อมาเราจะเข้าไปในสถานีแล้วล่ะ Staff รัวจีนใส่ไม่ยั้ง แต่ไม่รู้เรื่องกัน ฮ่าๆ

เราก็เลยโทรหาเพื่อน ที่พูดภาษาจีนได้ ให้ช่วยเป็นล่ามให้เราหน่อย คุยกันไปคุยกันมา
เลยสรุปได้ความว่า เรามาผิดสถานี!!!! เราต้องไปอีกสถานีหนึ่ง
Staff พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่เขาใจดีมาก วิ่งกระหืดกระหอบ รีบพาเรามาส่งขึ้นรถบัส
พร้อมกำชับคนขับรถบัสให้ส่งพวกเราลงสถานีที่ถูกต้อง

หน้าตาของตั๋วรถไฟความเร็วสูงค่ะ เพื่อนคนไทยที่เรียนที่จีน ซื้อให้ค่ะ
แล้วเพื่อนก็แคปชั่นข้อมูลตั๋วของเราไว้ แล้วส่งให้เรา เรามีหน้าที่เอาไปยื่นพร้อมกับ Passport
เพื่อออกตั๋วจริงแบบนี้ จะได้ตั๋วทั้งขาไปและขากลับ อย่าทำหายนะคะ หายนี้ตัวใครตัวมัน ฮ่าๆๆๆ
ในตั๋วก็จะมีรายละเอียด ช่วงเวลาเดินทาง ที่นั่ง โบกี้ที่เท่าไร รถไฟเที่ยวไหน มันเป็นภาษาจีนหมดเลยค่ะ
ให้ดูที่เวลาและขบวนเป็นหลัก แล้วถ้าไม่มั่นใจก็เดินเข้าไปถามเลย ใช้ภาษามือก็ได้
แล้วเจ้าหน้าที่เขาก็จะชี้ๆ บอกให้ว่าต้องไปรอตรงไหน ตั๋วรถไฟราคา 1600 บาท รวมทั้งขาไปและกลับค่ะ

นี่!!! มาถึงแล้ววววววววว มาถูกแล้วค่าาาาา “ฉงชิ่งเป่ย” Chongqing North Railway Station
ตั๋วเราได้มาแล้วจากสถานีเดิม โชคดีที่เขายังออกตั๋วฉบับจริงให้
พอมาถึง เราสองคนรีบวิ่งหน้าตั้งเข้าไปข้างใน จากอากาศ 11 องศา ตอนนี้เหงื่อแตกพลั่ก
ร้อนมากๆๆ จนน้องบอกว่า “เจ้ เรามาเที่ยวจีน หรือมาวิ่งแข่งมาราธอนกันแน่เนี่ย ฮ่าๆๆ”

สถานีรถไฟใหญ่มากกกกกกก ใหญ่กว่าสนามบินระหว่างประเทศอีก
แต่ก่อนจะเข้าไปในสถานีได้ ก็ต้องผ่านการตรวจ Scan กระเป๋าทุกใบ Scan แล้ว Scan อีก
ระบบการตรวจของจีนยอมรับจริงๆ ตรวจแล้วตรวจอีก
เพื่อนเล่าให้ฟังว่า ถ้าเป็นช่วงเทศกาลต้องเผื่อเวลาไว้เยอะๆ เพราะคนจะเยอะมาก
แล้วเขาก็จะตรวจนานมาก เรามีเวลาอีกแค่ 1 ชั่วโมง รถไฟก็จะออก แต่เรามาถึงทันเวลาพอดี
แถมวันนี้คนไม่เยอะ ทำให้เราทันเวลาพอดีค่ะ รอดตาย เกือบตกรถไฟ ฮ่าๆๆ

ภายในรถไฟ ให้นั่งตามที่นั่ง ตามโบกี้ สะดวกสบายมากๆ
มีอาหารขายบนรถไฟ มีที่ชาร์จแบต มีที่เก็บกระเป๋า ใช้เวลาเดินทางแค่ 2 ชั่วโมงก็มาถึงเมืองเฉิงตู
ตอนแรกเรามาลงที่ฉงชิ่ง เพราะขากลับตั้งใจว่าจะได้เที่ยวเมืองฉงชิ่งด้วย
ปรากฎว่าหลงทาง ฮ่าๆๆๆ ดังนั้นก็เลยตัดสินใจไปรอที่สนามบินเลยค่ะ

แล้วเราก็มาถึงเมืองเฉิงตูอย่างปลอดภัย มาถึงสถานี Chengdu East Railway Station 
เราจะไปที่พัก Nova Traveller’s Lodge ค่ะ ให้เดินไปทาง West Square แล้วไปซื้อตั๋วรถไฟ
ก่อนเข้าสถานีรถไฟฟ้าทุกครั้ง พี่จีนเขาจะตรวจกระเป๋าทุกใบ อย่างละเอียดถี่ถ้วน

แล้วในกระเป๋าเดินทางของเรา เรามีโฟมล้างหน้าที่ขวดมันสามารถจุดไฟได้
เขาก็ “You you open your bag” เราก็มองหน้ากันกับน้องรหัส “เขาให้เปิดหรอ?” อ่ะ…เปิดก็เปิด
เปิดกันกลางสถานีรถไฟฟ้าเลยจ้าาาาาาา Staff มามุงกันเต็มมมม ฮ่าๆๆๆ
เปิดออกมา เจอมาม่าไทยก่อน (พกมาเผื่อฉุกเฉิน)
แล้วก็เจอโฟมล้างหน้า เขาก็ถามว่ามันคืออะไร เราก็บอกไปว่ามันเป็นโฟมล้างหน้า พี่จีนก็มองเหมือนไม่เข้าใจ
เราก็เลยทำท่าล้างหน้าให้ดู ทำแบบนี้อ่ะยู เขาเอาไว้ล้างหน้า Staff เขาก็เลย อ๋อออออ understand
แล้วเขาก็ปล่อยเราไป ฮ่าๆๆ ผ่านพ้นช่วงเวลาตื่นตระหนกมาได้ เราก็เดินทางกันต่อ

เราต้องไปลงสถานี Taisheng Road South Exit C รถไฟฟ้าเหมือนกันกับรถไฟฟ้าบ้านเราค่ะ
สะดวกสบาย สามารถโหลด Application ที่เป็น Map Metro ไว้ดูสถานีรถไฟได้ค่ะ

พอมาถึงทางออก เราก็เดินหาที่พัก เราจองที่พักผ่าน www.hostelworld.com ค่ะ
แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ เปิด Google Map ก็แล้ว สองคนช่วยกันกับน้องรหัสก็แล้ว
อาศัยถามทางไปเรื่อยๆ แต่ก็หาไม่เจอ เดินวนไปวนมาหลายรอบมาก จนเราสองคนเหนื่อยล่ะ

มาจีนครั้งนี้ผจญภัยหนักมาก ตั้งแต่ผิดสถานี ไหนจะมาหาที่พักไม่เจอ

เราก็เดินลากกระเป๋าไป จนไปหยุดอยู่ที่หน้าร้านขายผ้าม่าน เลยให้เขาช่วยบอกทาง
เราก็เปิด Google หน้าตาที่พักที่เป็นภาษาจีนให้เขาดู
เขาก็เปิด Google เปิด Map ช่วยหา จนลูกชายเขานึกออก
เขาก็เลยเดินมาส่งเราจนถึงหน้าที่พัก ผ่าง!!! ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางตึก ฮ่าๆๆ ใครมันจะไปเห็นล่ะฮ่ะ ท่านผู้ชม

คืนแรกนอนห้อง Female Dorm 6 เตียง คนละ 30 หยวน แต่มีค่าประกัน 100 หยวน
ให้เราเก็บใบเสร็จไว้ แล้วคืนใบเสร็จตอน Check Out เราก็จะได้เงิน 100 หยวนคืนค่ะ

เราจะพักที่เฉิงตูก่อน 1 คืน ในวันพรุ่งนี้เช้า เราต้องเดินทางไปไปจิ่วไจ้โกว พระเอกของงาน
แต่เรายังไม่มีตั๋วรสบัสเลย เอาไงดีล่ะ? ไปคุยกับ Staff ที่พักเลยค่ะ
ตั้งแต่มาเมืองจีน มี Staff ที่พักนี่แหละ ทีี่พูดจีนได้ พระเจ้ามากกกก สวรรค์ทรงโปรด
Staff แนะนำให้ไปซื้อตั๋วไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย และเขียนภาษาจีนใส่กระดาษให้
บอกว่าให้เอาไปยื่นให้คนขายตั๋วเลย แถมบอกอีกว่า ให้โบก Taxi ไปเลยจะได้รวดเร็ว

ด้านบนตัวหนังสือสีดำ ให้ยื่นให้ Taxi ส่วนด้านล่าง ตัวหนังสือสีน้ำเงิน ให้ยื่นให้คนขายตั๋ว
เอาล่ะ Taxi จีน งาน Fast 8 ต้องมาค่ะ คุณพี่เล่นแชทไปด้วย ขับรถไปด้วย แล้วก็ขับเฟี้ยวมากกกกกก
กระเหรี่ยงไทยสองคนด้านหลัง หัวใจจะวาย นึกอยากจะบีบแตรพี่แกก็บีบๆๆ
นึกอยากจะเลี้ยวแบบไม่เบรก พี่แกก็จัดให้ชุดใหญ่ไฟกระพริบมากเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ

กว่าจะมาถึง Xiananmen Bus Station เล่นเอาหัวใจเราแทบจะวาย จ่ายค่าเสียหายไป 12 หยวนค่ะ
พอมาเห็นด้านหน้าของสถานีรถบัส หือ???? ที่นี่เนี่ยนะ??? เขากำลังอยู่ในช่วงปรับปรุง
เราเดินเข้าไปเลยค่ะ เดินเข้าไปซื้อตั๋วด้านในได้เลย โดยยื่นกระดาษที่ staff เขียนให้

ตั๋วรถบัสไปจิ่วไจ้โกว ราคา 260 หยวนไปกลับ เราจะได้ตั๋วมา 1 ใบ
แล้วเขาก็จะมีกระดาษภาษาอังกฤษ ภาษาจีนมาให้ บอกว่า พอเราไปถึงจิ่วไจ้โกว
เราไม่ต้องซื้อตั๋วใบใหม่ ให้ไปบอกเวลาขากลับได้เลย จะกลับวันไหน เวลาเท่าไร
ก็ยื่นตั๋วใบเดิมนี่แหละให้เขาได้เลยค่ะ

ได้ตั๋วรถบัสมาแล้ว ได้เวลามาเดินเล่นในเมืองเฉิงตู เฉิงตูได้ชื่อว่าเป็นเมืองของแพนด้า
แต่เสียดายรอบนี้เรามีเวลาน้อยไปหน่อย ก็เลยไม่ได้ไปหาแพนด้าเลยค่ะ

เรามาที่นี่ค่ะ Chunxi Road (ชุนสีลู่) ลงสถานี Chunxi Road Exit D 
แล้วก็เดินเล่นได้เลยค่ะ อารมณ์เหมือนเมียงดงที่เกาหลี หรือ Dobontori ที่โอซาก้ามากๆ
มีความในเมืองขั้นสูง มีแหล่ง Shopping ร้านอาหาร สินค้า Brand Name ต่างๆ มากมายค่ะ

เราจะไปกินข้าวกันค่าาาาา ตั้งแต่ทานอาหารอยู่บนเครื่อง ข้าวยังไม่ตกถึงท้องพวกเราเลยค่ะ
พอตกเย็นมา หิวจัดมาก พากันเดินมาทาง Taikooli อยู่แถวๆ เดียวกันกับ Chunxi Road
สามารถเปิด Google Map เดินตามได้ค่ะ อาหารมื้อแรกอย่างเป็นทางการของพวกเรา
มันคืออะไรก็ไม่รู้ค่ะ ดูตามรูปก็ชี้ๆ เอาเลยค่ะ ค่าเสียหาย 170 หยวน สมกับที่ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน

พอหนังท้องตึง ก็ได้เวลาเดินย่อย ที่เฉิงตูมี Line Friends Cafe & Store ด้วยนะคะ
น่ารักมากๆ แถมช่วงนี้ใกล้เข้าสู่คริสต์มาส ก็จะเจอไฟประดับเต็มไปหมดเลย

มาต่อกันวันที่ 2 ค่ะ เราโบก Taxi มากันที่สถานีรถบัส Xiananmen Bus Station กันตั้งแต่เช้าตรู่
วันนี้ต้องนั่งรถบัส 11-12 ชั่วโมง จากเมืองเฉิงตู ไปยังเมืองจิ่วไจ้โกว

ตอนแรกก็คิดว่าจะนั่งกันจนเมื่อย หลับไปตลอดทาง แต่ไม่ใช่เลย
เรานั่งตื่นตาตื่นใจไปกับธรรมชาติสองข้างทาง ที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นมาให้
ตอนแรกที่มาที่นี่ ก็คิดเหมือนกันว่า เรามาลำบากกันทำไมนะ? แต่พอได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
โห!! มันหายเหนื่อยไปจนหมด ลืมไปเลยว่าเคยเกือบตกรถไฟ ลืมไปเลยว่าหงุดหงิดกับการหาที่พักไม่เจอ
นี่ล่ะมั้ง ที่เขาเรียกกันว่า เสน่ห์ของการเดินทาง

นั่งชื่นชมกับธรรมชาติสองข้างทางได้ไม่เท่าไร รถบัสก็จอดให้พักค่ะ
เข้าห้องน้ำห้องท่า มีร้านสะดวกซื้อ น้ำเปล่าขวดเล็กจะตกประมาณ 2-3 หยวน
โค้กประมาณ 5 หยวน และค่าเข้าห้องน้ำ ต้องจ่ายด้วยนะคะ คนละ 1 หยวน

พูดถึงห้องน้ำจีน เป็นที่เลื่องลือมากกกกกกกกกกกกกกกกก ว่าอัศจรรย์ใจจริงๆ เชียว
ตอนแรกก็เข้าใจว่ามีแต่ที่เป็นแบบนั่งคอห่านธรรมดา พอเจออยู่ที่พักก็มีชักโครก
ไม่เลยจ้าาาาาา พอออกมานอกเมืองแบบนี้ เป็นแบบ open มากกกกกกก
เปิดประตูเข้าไปตอนแรก “สะพรึง” จะทำธุระส่วนตัวยังไงล่ะเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ

ที่นี่ยังถือว่าสะอาดที่สุด และปิดมิดชิด เวลาเรานั่งแล้วจะไม่เห็นหัวเรา เพราะมีผนังบังไว้อยู่นะคะ
แต่มีสะพรึงมากกว่านี้อีก มองเห็นเพื่อนที่นั่งทำธุระข้างๆ สามารถชะโงกหน้าไปคุยกันได้เลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ

วิธีการของเราก็คือ รีบวิ่งไปด้านในสุดแล้วก็ไม่สนใจใคร แรกๆ ก็ไม่ชิน แต่พอรถจอดให้พักปุ๊ป
วิ่งเข้าทุกห้องน้ำก็ชิน เริ่มปรับตัวได้ แต่เขาไม่มีทิชชู่ให้นะคะ ไม่มีน้ำให้ เราต้องพกน้ำขวดและทิชชู่เอง

เวลาเที่ยงพอดี รถบัสก็จอดให้รับประทานอาหารเที่ยง เป็นแบบบุฟเฟ่ค่ะ ให้ตักเองเลือกเองเลย
แต่เราเดินไปดูอาหารแล้ว ไม่น่ากินเท่าไร ก็เลยไม่กิน กินขนมที่ซื้อมาไว้กินบนรถแทน

เรากับน้องกำลังนั่งเล่นอยู่ สายตาก็เหลือบไปเห็นฝรั่งตาน้ำข้าว
อารมณ์แบบ เฮ้!!! เราเจอพวกแล้วเว่ยยยยยยยย ต่างชาติเหมือนกัน เพราะรถบัสคันที่มาด้วยกัน
ไม่มีต่างชาติเลยยยยยยยย พวกเราสองคนรีบวิ่งเข้าไปทักทาย
คุยกันไปคุยกันมา ได้ความว่า ชื่อไอเดียล มาจากอิสราเอล เป็นฝรั่งสาย backpacker ของแท้

และในขณะที่ให้สาวจีนช่วยถ่ายรูปให้อยู่นั้น สาวจีนก็พูดภาษาอังกฤษกับพวกเรา
เห่ยยยยยยยยยย คือดีมาก เธอชื่อ เป็กกี้ มาจากปักกิ่ง มาเที่ยวเหมือนกันกับพวกเรา
ได้เพื่อนเพิ่มมาแล้วอีกสองคน แถมโชคดีด้วย เป็กกี้นั่งรถบัสคันเดียวกันกับพวกเรา มีล่ามแล้ว โชคดีแล้ววววว

ได้เวลาเดินทางกันต่อ อีกประมาณครึ่งวัน เราก็จะถึงจุกหมายปลายทางแล้ว
ระหว่างทางก็ยังสวยงามเหมือนเดิม เป็กกี้นั่งเบาะข้างหน้าเรา
เธอมาเที่ยวจิ่วไจ้โกวกับเพื่อนของเธออีกหนึ่งคน
เธอก็ยกกล้องขึ้นเก็บภาพอยู่เรื่อยๆ ว่างๆ ก็ยื่นขนมมาให้เรากับน้องด้วย

แล้วเป็กกี้ก็แนะนำให้เรารู้จักคุณลุงคุณป้า คู่รักนักผจญภัยที่มาจากปักกิ่งเหมือนกัน
เราก็ถามเป็กกี้ว่า “มาด้วยกันหรอ?” เป็กกี้ก็บอกว่า “เปล่าเลย มาเจอกันบนรถบัสนี่แหละ” ฮ่าๆ
คุณลุงคุณป้าก็น่ารักมาก พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็ยิ้มให้และยื่นขนมให้เราสองคนตลอดทาง

วิวสองข้างทาง ไม่ได้ทำให้ตื่นตาตื่นใจเฉพาะสองสาวคนไทย แต่ทุกคนบนรถบัส
เป็กกี้ คุณลุงคุณป้าที่เป็นคนจีนเอง ต่างก็ตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน
ในมือของคุณลุงถือกล้องตัวใหญ่ มีเสียงลั่นชัตเตอร์ตลอดเวลา
บ้างก็หันมาส่งยิ้มให้เรา เหมือนกับส่งสัญญาณว่า ถ่ายรูปกันๆ

ใกล้พลบค่ำ พวกเราก็มาถึงจิ่วไจ้โกว ลงจากรถบัสปุ๊ป ก็ให้ไปยื่นตั๋วเดิมของขามาให้เจ้าหน้าที่
แล้วก็บอกเขาว่าจะกลับวันไหน เวลาเท่าไร เขาก็จะเขียนใส่ตั๋วใบเดิมให้เราค่ะ

จากสถานีรสบัสเล็กๆ ที่จิ่วไจ้โกว เราต้องไปที่พักของเราคือ Angelie Hotel Jiuzhagou
เราก็โบก Taxi ไป มีเยอะแยะค่ะ ไม่ต้องห่วงเลย ค่าเสียหาย Taxi ประมาณ 10-20 หยวน
เนื่องจากที่จิ่วไจ้โกวเขาจะไม่มี Taxi ที่เป็นเหมือน Taxi ทั่วไป คำว่า Taxi ของที่นี่ก็คือคนในพื้นที่
ที่เอารถบ้าน รถของตัวเองมาบริการ เราจะสามารถโบกได้ตลอดทุกคันที่วิ่งผ่านไปมา
ดังนั้นเขาจะคิดเหมาราคาเลยค่ะ (อันนี้ Staff ที่พักเล่าให้เราฟังอีกที)

เราจองที่พักผ่าน www.hostelworld.com เหมือนเดิม ค่าที่พักคืนละ 158 หยวน
เราจะนอนที่จิ่วไจ้โกวกัน 2 คืนค่ะ

ตอนที่เรากำลัง Check In เราเจอน้องคนไทย 2 คน น้องเรียนอยู่ที่จีนค่ะ แต่น้องเรียนอยู่อีกเมือง
แล้วก็มาเที่ยวจิ่วไจ้โกวเหมือนกัน โหยยยยยยยยย ดีใจมากกกกกก
แล้วก็โชคดีมากๆๆ ที่ได้เจอกัน แถมพักอยู่ที่เดียวกันด้วยค่ะ

ก็เลยตกลงกันว่า เดี๋ยวตอนเย็นนี้จะไปกินข้าวเย็นด้วยกัน แถมฝรั่งไอเดียลอีกหนึ่งคน
ไอเดียลก็พักที่เดียวกันกับเรา ส่วนเป็กกี้ คุณลุงคุณป้า พักอยู่กันคนละที่กับเรา
ก็แยกย้ายกันตั้งแต่ลงรถบัส แล้วก็บอกเธอว่า เดี๋ยวไว้คงจะเที่ยวเจอกันที่จิ่วไจ้โกว

ร้านอาหารที่จิ่วไจ้โกว มีเยอะแยะเลยค่ะ มีภาพให้ดูด้วย ถ้าอ่านไม่ออกก็ชี้ๆ เอาได้เลย
อาหารจีนที่น้องสั่งมาให้ทานกันนั้น อร่อยค่ะ เราเพิ่มข้าวตั้งสองชาม
หรือเพราะหิวก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันเลย ฮ่าๆๆๆ อาหารเย็นมื้อแรก ตกอยู่ที่คนละ 63 หยวนค่ะ

เช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่ 3 พวกเราตกลงกันตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะไปเที่ยวจิ่วไจ้โกวด้วยกัน
มีเรากับน้องรหัส และน้องคนไทยสองคน ส่วนไอเดียลขอแยกตัวไปกับคู่รักชาวฝรั่งเศสที่เจอกันที่ที่พัก
ก็เลยเหลือเด็กไทย 4 คน และคงเป็นคนไทยแค่ 4 คนที่อยู่จิ่วไจ้โกวแห่งนี้

จากที่พักเราก็เดินไปไม่ไกลมากนัก ก็จะถึงทางเข้าจิ่วไจ้โกว
เราต้องเข้าไปซื้อตั๋วก่อน เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วง Low Season
ราคาตั๋วจะอยู่ที่ 80 หยวน และ ค่ารถบัสอีก 80 หยวน รวมเป็น 160 หยวน
เราต้องนั่งรถบัสขึ้นไป เส้นทางการท่องเที่ยวที่จิ่วไจ้โกว จะเป็นรูปแบบตัว Y
จะมีรถบัสรับส่ง แล้วก็นั่งรถบัสลงมาเรื่อยๆ จอดตามรายทาง จะมีจุดรับส่งรถบัสตลอดทาง
มีป้ายบอกตลอดและมีที่นั่ง เหมือนที่นั่งรอรถเมล์ เราก็ไปยืนรอรถตรงนั้นเพื่อที่จะไปจุดต่อไปได้ค่ะ

ส่วนเรื่องอาหาร เราซื้อขนม นมเนย น้ำ มาเตรียมใส่กระเป๋าไว้
แต่ในอุทยาน มีจุดบริการนักท่องเที่ยว แต่เราก็กลัวว่าอาหารจะไม่ถูกปาก
ก็เลยเตรียมอาหารของตัวเองไว้เลยค่ะ

อ่อ…เรื่องห้องน้ำ ห้องน้ำที่นี่เป็นที่นั่งแบบชักโครก เป็น Autometic มีพลาสติกหุ้มไว้
เวลาเราทำธุระเสร็จ มันจะไหลๆๆ ลงไปเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ถ้ามันไม่ไหล
มีปุ่มกดด้านหลังจ๊ะ กดไปเล้ยยย แต่ ไม่มีทิชชู่ ไม่มีน้ำให้ค่ะ

ที่แรกที่เราจะไป คือ Arrow Bamboo Lake แต่มีที่ที่สูงกว่านี้คือ Swan lake
และเนื่องจากวันนี้ลมแรง ทางอุทยานเขาก็เลยปิดไม่ให้ขึ้นไป

ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถบัส ก็จะมีเจ้าหน้าที่อธิบายประวัติความเป็นมาของจิ่วไจ้โกวแห่งนี้
และนำสถานที่ต่างๆ แน่นอน เป็นภาษาจีน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฟังออกที่ไหนล่ะฮ่ะ ท่านผู้ชม

แต่!!! เราโชคดีค่ะ เรามีน้องที่เรียนที่จีน คอยเป็นล่ามแปลให้เราฟังระหว่างทางไปเรื่อยๆ
มาถึงที่แรก โอ้โหววววววววววว สวยงามมากกกกกกกกกกกก Arrow Bamboo Lake
เราคิดว่าระหว่างการเดินทางที่มาจิ่วไจ้โกวว่าสวยมากแล้ว
พอมาเห็นของจริงตรงหน้าแล้ว มันมหัศจรรย์มากค่ะ เข้าใจแล้วว่า ที่เราเดินทางมาไกลๆ กว่าจะมาถึง
ทั้งต่อรถไฟ ตามด้วยรถบัส นั่งกัน 11-12 ชั่วโมง มาเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันคุ้มมากแล้วค่ะ

ถัดจาก Arrow Bamboo Lake เราก็สามารถเดินมาถึงกันได้ เป็น Arrow Bamboo Lake Waterfall

สถานที่ถัดมาต่อจาก Arrow Bamboo Lake คือ Panda Lake
น้องเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อน แพนด้าจะมีแพนด้าอาศัยอยู่ แล้วก็จะลงมากินน้ำที่นี่
พอมากินน้ำ ด้วยความที่น้ำมันใสมากๆ แพนด้าก็จะมองเห็นหน้าตัวเอง ก็เลยได้ชื่อว่า Panda Lake

เรามาเที่ยวช่วงฤดูหนาว น้ำกลายเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว แต่ในสายตาของเรา เราว่ามันก็ยังสวยอยู่ดี
สวยในแบบที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา โดยไม่ต้องมีอะไรปรุงแต่ง ถึงแม้น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง
แต่ในความเป็นน้ำแข็งนั้น ก็ยังคงความงดงามอยู่ดี

มาถึง Hilight ของจิ่วไจ้โกวแห่งนี้ Five-Flower Lake ทะเลสาบห้าสี
เขาว่ากันว่า ให้มาช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี (Autumn) มันจะสวยมากกกกกกกกกก
ขนาดเรามากันช่วง Low Season มาเจอแบบนี้ เราก็ยังว่ามันสวย สวยมากจริงๆ
น้องบอกว่า “ผมว่าเอาจริง จิ่วไจ้โกวมันสวยทุกฤดูนะพี่ แต่ล่ะฤดูก็จะมีความงดงามแตกต่างกัน”
เราเห็นด้วยกับน้อง จิ่วไจ้โกว สวยทุกฤดูจริงๆ

แต่ละฤดูก็คงจะมีความงดงามแตกต่างกันไป ถ้ามีหิมะ ก็คงจะหิมะขาวโพลน
ถ้าฤดูฝน ก็คงจะเขียวชอุ่มชุ่มชื่น มองไปทางไหน ก็เป็นสีเขียวสบายตา
เราว่ามันก็แล้วแต่คนจะชอบ บางคนอาจจะชอบหิมะ ในขณะที่บางคนไม่ชอบอากาศหนาวเย็นเอาเสียเลย

มาถึงอีกหนึ่งที่หมายที่สำคัญ Mirror Lake ทะเลสาบกระจก เป็นเงาสะท้อน สวยงามมากกกกกกกกกกก
น้องบอกว่า “พี่ที่ผมรู้จัก เขาบอกว่าให้มาก่อนสิบโมงนะพี่ ไม่งั้นเงามันจะไม่สะท้อนแล้ว”
อาจจะว่าด้วยเรื่องของแสงตกกระทบ ถ้ามาหลังช่วงเวลาดังกล่าว อาจจะได้ภาพไม่สวยงาม
ไม่มีเงาสะท้อนแล้ว แต่วันนี้โชคดี เรามาในวันที่มีแสงแดด และช่วงเวลาที่เหมาะสม
ก็เลยได้ภาพที่สมบูรณ์ที่สุดออกมา

เรามาต่อกันที่หมู่บ้านทิเบต มาสัมผัสกับความงามของธงมนต์
เดินเข้าไปด้านในลึกที่สุดของหมู่บ้านจะมีวัด เราสามารถเข้าไปไหว้พระ ขอพรได้ และทำบุญตามกำลังศรัทธา
ส่วนภายในตัวหมู่บ้านก็จะมีของขาย อาหารแห้งบ้าง พวกเครื่องเทศ ของที่ระลึกพวงกุญแจ สร้อยข้อมือ

จากหมู่บ้านทิเบต เราก็เดินลงเขา ตามทางมาเรื่อยๆ จนมาถึง Sparkling Lake Waterfall
น้ำใสมากกกกกกกก สวยมากกกกกกกกกก  เราไม่ได้ไปอีกหนึ่งเส้นทาง คือ Long lake เพราะอยู่ทางขาตัว Y อีกเส้นทางหนึ่ง ด้วยความที่มีเวลาจำกัด ก็เลยเลือกแค่เส้นทางขาตัว Y เพียงเส้นทางเดียว
ถ้ามีเวลา แนะนำให้เที่ยวจิ่วไจ้โกว 2 วันนะคะ จะได้เก็บครบทุกเส้นทาง
และเพิ่มเวลาอีก 1 วัน เดินทางไปหวงหลง แล้้วค่อยกลับไปเที่ยวเมืองหมีแพนด้าที่เฉิงตูค่ะ

ได้เวลาอาหารแล้ว น้องพาเราไปกินอาหารอร่อยๆ อีกแล้ว
อาหารเย็นมื้อนี้ เราก็กินข้าวไปสองชามเหมือนเดิม เจริญอาหารมากค่ะ
น้องบอกให้ลองกิน หมาล่า (เครื่องเทศชนิดหนึ่ง) เอาว่ะ!!! ไหนๆ มาจีน ก็ต้องลองกินหมาล่า
“อย่ากัดเยอะนะพี่ เอานิดเดียวๆ” ทุกคนดูลุ้นกันใหญ่ ฮ่าๆๆ ส่วนน้องรหัสเรา รายนั้นเคยแพ้อาหารที่มาเลเซีย
ก็เลยไม่กล้ากินอะไรแปลกๆ เลย เรากัดไปนิดเดียว เริ่มชาๆ ลิ้นแหะ มันเป็นแปลกๆ จะเผ็ดก็ไม่เผ็ด แต่ชาๆ
ฮ่าๆ ได้ลองกินหมาล้าแล้วครั้งหนึ่งในชีิวิต ค่าอาหารมื้อนี้ ตกอยู่ที่คนละ 35 หยวน
ต่อมาเราเดินผ่านร้านขายเกี๊ยวกับเสี่ยวหลงเปา ก็เลยชวนน้องเข้าไปกิน
เลี้ยงน้องเป็นการตอบแทน ที่ช่วยเหลือ ไปเที่ยวด้วยกัน พามากินอะไรอร่อยๆ
น้องบอกว่า “มันเสี่ยวหลงเปาของปลอมอ่ะพี่ จริงๆ มันต้องมีน้ำด้วย มันน่าจะเป็นซาลาเปาเฉยๆ”
เกี๊ยวกับซาลาเปา โอเคค่ะ ถือว่าใช้ได้ ค่าเสียหายอยู่ที่ 33 หยวน
เช้าตรู่ของวันที่ 4 ว้าาาาาาาาาา ต้องลาจากจิ่วไจ้โกวแล้วหรอเนี่ย
เราโบก Taxi กันตั้งแต่ฟ้ามืด Staff เดินออกมาส่งพร้อมยกกระเป๋าเดินทางให้ด้วย
พอมาถึงสถานีรถบัส เราก็ถามหารถที่จะไปเฉิงตู พร้อมกับรอเวลารถออกเดินทาง
สองข้างทางก็ยังสวยงามเสมอ เราหอบหิ้วเอาอาหารขึ้นมากินบนรถเหมือนเคย
“เค้าซื้อส้มมาเจ้ ส้มจีนของแท้เลย เราไม่อดตายกันล่ะ” น้องรหัสเราชูถุงส้มให้เราดู
“ขามาเราตุนไม่เยอะ ขากลับ ของกินแน่นเจ้ แบ่งคนทั้งรถยังได้” ฮ่าๆๆๆ
เมื่อวานก่อนเดินทางกลับ น้องกำชับนักหนาว่า
“ต้องกินเนื้อจามรีให้ได้นะพี่ อยู่ที่จุดพักรถที่เราผ่านมา”
พอมาถึงที่ รีบวิ่งไปหา ถามราคา “ตั่วเช่าๆๆ” (แปลว่าเท่าไร น้องสอนมา ฮ่าๆๆ)
คุณลุงคนขายกดเครื่องคิดเลขให้ดู 158 หยวน (ประมาณ 800 บาท!!!) แพงมากกกกกกกก น้ำตาจะไหล
เราเลยกดเครื่องคิดเลขให้ดูขอซื้อ 10 หยวนได้มั้ย (50 บาท) ฮ่าๆๆๆ
ลุงส่ายหน้า เราเลยบอกคุณลุงทำมือเล็กๆ แบบ ขอกินนิดนึงได้มั้ยคะ
คุณลุงใจดีมาก พนักหน้าๆ ตัดแบ่งให้ชิม โหยยยยยย เราขอบคุณ คุณลุงยกใหญ่
อร่อยยยนะ เหมือนเนื้อวัวแหละ (เรากินเนื้อเป็นปกติ) เฮ้!!! ครั้งนึงในชีวิตได้กินเนื้อจามรีแล้ว
พอเรามาถึง Xiananmen Bus Station คราวนี้เราเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดินจากสถานี Xinnanmen
ไปลงสถานี Taisheng Road South Exit C ที่เดิม ไปหาที่พักเรา Nova Traveller’s Lodge
ไม่หลงทางแล้วคราวนี้ ตอนแรกเราจองกันมาแบบ Female Dorm แต่วันนี้ด้วยความที่เดินทางมาเหนื่อยมากๆ
ก็เลยลองคุยกับ Staff ขอเปลี่ยนห้องพักเป็นแบบ Twin Room ราคา 120 หยวน แทน
เดชะบุญมีห้องว่างพอดิบพอดี แถมห้องก็โอเคมากๆๆๆ นอนหลับสบายเลยคืนนี้
ยัง…เรายังไม่นอน ออกไปเดินเล่นหาอะไรกินกันที่ Chunxi Road (ชุนสีลู่) เหมือนเดิมค่ะ
ให้ไปลงสถานี Chunxi Road Exit D 
เดินเล่นที่ Chunxi Road ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว สินค้าก็จะเป็นสินค้าของฤดูหนาว
พวกเสื้อโค้ทต่างๆ สวยงามมากเลยค่ะ แต่ซื้อไปใส่ที่เมืองไทยบ้านเราไม่ได้ ฮ่าๆๆ
เดินเล่นกันจนเหนื่อย ก็หาอะไรกินกันดีกว่า มาเมืองจีน อยากกินอาหารญี่ปุ่นกันซะงั้น
เป็นร้านอาหารที่อยู่ในห้างค่ะ เดินมาๆ เจอก็เลยรีบพุ่งตัวเข้าไป ฮ่าๆๆ
อร่อยดีค่ะ ค่าเสียหายอยู่ที่ 149 หยวน

ของคาวเสร็จ วิถีคนไทย ก็ต้องตามด้วยของหวาน ร้าน Mango Six ค่ะ แน่นอนเป็นแบรนด์สัญชาติเกาหลี
เราเคยทานตอนที่ไปเกาหลี เราว่ามันอร่อยดี ก็เลยพาน้องมาที่นี่ มาลองกินน้ำมะม่วงปั่นดูดีกว่า
Mango Six  จะอยู่ทาง Taikooli เดินมาได้ไม่ไกลเลยค่ะ ของหวานของเราอยู่ที่ 108 หยวนค่ะ

และคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะได้อยู่บนจีนแผ่นดินใหญ่
พรุ่งนี้จะเดินทางกลับไปเมืองฉงชิ่งและเดินทางกลับประเทศไทย

เช้าวันที่ 5 วันสุดท้ายของการเดินทาง Check Out เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลากกระเป๋าจากที่พัก ไปสถานี Taisheng Road South นั่งรถไฟฟ้าต่อไปยัง สถานี Chengdu East Railway Station
เพื่อไปนั่งรถไฟความเร็วสูงกลับไปยังเมืองฉงชิ่ง

พอไปถึงสถานีรถไฟความเร็วสูง ก็เจอเหตุการณ์ระทึกเหมือนในคลิปจีนที่เราเห็นกันบ่อยๆ ตรงทางบันไดเลื่อน มีผู้หญิงลื่นเปลือกส้ม ทำให้ผมไปติดกับบันไดเลื่อน แฟนเขารีบวิ่งเข้ามาช่วย แต่ก็ลื่นล้มกันไปทั้งสองคน
เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานกันเร็วมาก รีบวิ่งมาช่วย และปิดบันไดเลื่อน ผู้หญิงคนนั้นปลอดภัยดีค่ะ

ถัดจากเหตุการณ์ระทึกขวัญแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางของพวกเรา ในขณะที่กำลัง Check เวลาและทางไปรถไฟของตัวเองอยู่นั้น คุณลุงคุณป้าคนจีน วิ่งเข้ามาถามว่าไปทางไหนๆ มีคนที่ไปฉงชิ่งด้วยกันกับเรา
เราก็บอก “ไทกัวเหลินๆ” (แปลว่าคนไทย) ฮ่าๆๆๆๆ คุณลุงคุณป้าก็ทำหน้าเหวอไป
แต่เราดูตั๋วให้ และพาไปขึ้นรถไฟด้วยกัน (บังเอิญมาฉงชิ่งด้วยกันและทางไปโบกี้เดียวกัน)
ตายล่ะ!! คนไทยบอกคนจีน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
รถไฟความเร็วสูงที่นี่ดีมาก สะอาด สะดวกสบาย มีข้าวขาย เราไปสั่งข้าวมากิน 15 หยวน Pepsi 6 หยวน
และคนที่นั่งข้างๆ เขาดู Goblin ว้ายยยยยย งานติ่งเกาหลีก็มา ฮ่าๆๆๆ เราก็เลยหันไปคุยกับเขา
เขาบอกเขาชอบลีดงอุค ฮ่าๆๆ เปิดรูปโชว์กันใหญ่ บ้านเขาดีมากมี Application ให้ดูเลย มี Sub ให้ด้วย
เขามีหลานมาด้วย ชื่อแกบี้ น้องอายุ 4 ขวบ เราเลยยื่นขนมให้ เขาก็ขอบคุณใหญ่เลย
นั่งคุยกันกับต้องสักพัก ก็มาถึง Chongqing North Railway Station มาถูกแล้วรอบนี้ ฮ่าๆๆๆ
จริงๆ เรามีเวลาไปเดินเล่นในเมืองฉงชิ่ง แต่ งงๆ หลงไปหลงมา
ก็เลยตัดสินใจมานั่งรอที่สนามบินกลับเมืองไทยเลยก็แล้วกัน
อาคาร Terminal 1 ระหว่างประเทศ เล็กมากกกกกกกกก เล็กนิดเดียว เมื่อเทียบกับ
Terminal 2 ที่บินในประเทศ ของกินเยอะกว่ามากๆ ที่ Terminal 1 มีแค่ร้านเดียว
ตอนแรกเราว่าจะหาอะไรกินกันที่ Terminal 2 แต่หลังจากที่ยืนดูเขาตรวจกันสักพัก
เหมือนเขาต้องมีตั๋วเครื่องบินยื่นให้ตำรวจที่อยู่ข้างหน้า ถึงจะเข้าไปได้
เรากับน้องก็เลยไม่ได้เข้าไปถามเขา ว่าพวกเราเข้าไปกินข้าวได้มั้ย ก็เลยพากันเดินมาที่ Terminal 1 เลย
มานั่งเล่น นอนเล่นที่ Terminal 1 สั่งข้าวมากินด้วย ราคา 166 หยวน ค่ะ
เอาล่ะ…ได้เวลาโบกมืออำลาจีนแผ่นดินใหญ่เสียที แล้วเที่ยวบิน FD 553 ของสายการบิน Thai Air Asia
ก็พาเรากลับมาถึงท่าอากาศยานดอนเมืองอย่างปลอดภัย ขอบคุณพี่หางแดงมากๆ ค่ะ
ขอบคุณประเทศจีน สุดยอดมากจริงๆ ฮ่าๆๆ
เราโชคดีจากการเดินทางทุกครั้ง ขอให้เราโชคดีแบบนี้ตลอดไป
ขอบคุณที่ตัวเองยังแข็งแรงและมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้ออกเดินทางไปเรื่อยๆ
นักเขียนชาวอเมริกัน ผู้เป็นตำนาน “มาร์ก ทเวน” กล่าวไว้ว่า
“Twenty years from now you will be more disappointed by the things
you didn’t do than by the ones you did do”
“อีก 20 ปี ข้างหน้า คุณจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำมากกว่าสิ่งสำคัญที่เคยได้ทำไปแล้วด้วยซ้ำไป”
ป่ะ!!! ออกจาก Comfort Zone ไปผจญภัยกันเถอะ!!!

Related posts